นอนกรนอันตรายไหม
กรน เป็นอาการที่พบได้บ่อยก็เลยมักถูกละเลยด้วยความเคยชินแล้วก็มีความรู้สึกว่าคือเรื่องธรรมดา ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว นอนกรนอันตรายไหม การนอนกรนเป็นหนึ่งในภาวการณ์ผิดปกติ ของการนอนหลับที่เป็นโทษต่อสุขภาพแล้วก็นำไปสู่โรคหลายอย่างตามมา อาการนอนกรนเกิดขึ้นจาก การที่ช่องทางเดินหายใจส่วนต้นของเรา มีการตีบแคบลง ทำให้ลมหายใจที่ผ่านเข้ามาผ่านช่องที่แคบนี้ เกิดการกระพือ และก็เปลี่ยนเป็นเสียงกรนขึ้น
เสียงกรนที่เกิดขึ้นนี้ บางทีอาจแตกต่างกันไป ขึ้นกับตำแหน่งของอวัยวะที่เกิดการกระตุก เป็นต้นว่า ถ้าการสั่นที่เพดานอ่อน หรือลิ้นไก่ ก็จะมีผลให้เกิดเสียงกรนในคอ หรือหากการเขย่าที่เนื้อเยื่ออ่อนด้านหลังโพรงจมูก ก็จะก่อให้เกิดเสียงกรนแบบขึ้นจมูก เป็นต้น
นอนกรน มี 2 ประเภท คือ
1.นอนกรนปกติ จะไม่อันตรายด้วยเหตุว่าไม่มีภาวการณ์หยุดหายใจขณะที่กำลังหลับร่วมด้วย จะมีผลเสียต่อคนที่อยู่รอบข้าง โดยเฉพาะกับคู่รัก เสียงกรนทำให้นอนหลับยาก ผู้เจ็บป่วยมักไม่ลำบาก แต่ว่าอาจมีอุปสรรคต่อการเข้าสังคมร่วมกับคนอื่นได้
2. นอนกรนอันตราย มีภาวการณ์หยุดหายใจขณะนอนหลับร่วมด้วย นอกเหนือจากที่จะมีผลเสียต่อคนที่อยู่รอบข้างแล้ว ถ้าเกิดไม่รักษา อาจมีอาการอยากนอนมากมายแตกต่างจากปกติในกลางวัน ทำให้เรียนหรือดำเนินงานได้ไม่เต็มที่ หากจำเป็นต้องขับขี่รถบางทีอาจเกิดอุบัติเหตุในท้องถนนได้ นอกนั้นจะมีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคอื่นๆได้ อาทิเช่นโรคความดันเลือดสูง, โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายฉับพลันจากการขาดเลือด, สภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ, โรคความดันเลือดในปอดสูง, โรคเส้นโลหิตในสมอง
ปัจจัยการนอนกรน ที่พบได้บ่อย ๆ มีดังนี้
- น้ำหนักตัวเกินกว่ามาตรฐานมาตรฐาน เบื้องต้นดูได้จากค่าดัชนีมวลร่างกาย (BMI)
- ไขมันในช่องคอหนา
- ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เป็นประจำ ก็ทำให้กล้ามหย่อนยานได้
- นอนกรนมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
- ดูดบุหรี่เป็นประจำ
- ความเหนื่อย กับการนอนกรน ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างมาก
- นอนหงายเป็นประจำ
อาการที่บ่งบอกมีสภาวะหยุดหายใจขณะที่กำลังหลับ หรือเป็นนอนกรนอันตราย
หากพบว่ามีอาการดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการตรวจ Sleep test และหาแนวทางในการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
- ตื่นรุ่งอรุณด้วยความอ่อนเพลียไม่สดชื่น หรือมีลักษณะอาการปวดมึนหัว อยากนอนต่ออีก เสมอ ๆ มีความคิดว่านอนไม่เต็มที่ มีความรู้สึกดังว่าไม่ได้มีเพศสัมพันธ์มาตลอดคืน ถึงแม้ว่าได้นอนพักอย่างมากแล้ว
- มีลักษณะอาการง่วงงุนในเวลาทำงานช่วงเวลากลางวันจนกระทั่งไม่อาจจะจะทำงานต่อได้ หรือมีลักษณะเผลอหลับในขณะที่ทำงาน, เข้าห้องเรียน, เข้าฟังสัมมนา, ขณะที่กำลังขับขี่รถยนต์ หรือขณะอ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์ ทีวี ทั้งที่ได้นอนพักอย่างมากแล้ว
- นอนหลับไม่ราบรื่นฝันร้าย หรือละเมอขณะกำลังนอนหลับ นอนเร่าร้อนใจมากมาย เหงื่อซึมไม่ดีเหมือนปกติขณะกำลังหลับ
- คนที่อยู่รอบข้างสังเกตว่ามีตอนหยุดหายใจ(witnessed apnea) หรือหายใจไม่บ่อยนัก
มีลักษณะอาการหายใจขัด หรือหายใจติดขัดขณะกำลังนอนหลับ อาจมีอาการเหมือนสำลักน้ำลาย - มีลักษณะอาการตื่น ผวา พลิกตัว หรือ หายใจหอบเสมือนขาดอากาศภายหลังหยุดหายใจ
ในเด็กอาจมีท่านอนที่เปลี่ยนไปจากปกติ เป็นต้นว่า ชอบนอนตะแคง หรือ นอนคว่ำ หรือ บางทีอาจไม่มีสมาธิทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้นาน รำคาญง่าย หรือมีกิจกรรมต่าง ๆ ทำตลอด
เวลา หรือมีฉี่ราดในช่วงเวลากลางคืน - มีภาวะความดันโลหิตสูงซึ่งยังหามูลเหตุไม่ได้
- การทำงานหรือผลการเรียนแย่ลง เนื่องจากอาการง่วงนอน ขาดสมาธิ พัฒนาการทางสมองและก็สติปัญญา และความจำแย่ลง
- อาจมาด้วยอาการที่ไม่แน่ชัดดังเช่นว่า เมื่อยล้า มีลักษณะอาการเซื่องซึม มีสมรรถนะทางเพศด้อยลง อารมณ์เสีย หรือมีขี้โมโห
แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรคนอนกรน
แม้ท่านพบว่ามีอาการเบื้องต้น ตรงดังที่กล่าวมาในประเด็นด้านบนหลายข้อ ตัวอย่างเช่น นอนกรนเสียงดังมากมาย ง่วงงุนกลางวัน โดยยิ่งไปกว่านั้นมีลักษณะผวาเฮือก คล้ายคนจมน้ำแล้วก็สำลักน้ำตอนนอนบ่อย ๆ ควรพบแพทย์ที่ และต้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนโดยยิ่งไปกว่านั้น อย่างเช่น แพทย์หู คอ จมูก (โสตศอนาสาวิทยา) แพทย์ผู้ที่มีความชำนาญโรคระบบหายใจ (Pulmonologist) หรือแพทย์ระบบสมอง (Neurologist) เป็นต้นรวมทั้งหากเป็นไปได้ ท่านควรจะพาคู่สมรสหรือคนที่สังเกตเห็นอาการมาพบแพทย์ด้วยก็จะดีมาก
วิธีแก้นอนกรนด้วยตัวเอง
- เปลี่ยนแปลงท่านอน ส่วนมากท่านอนหงาย จะเป็นท่าที่ส่งผลให้เกิดการกรนเยอะที่สุด ท่านบางทีอาจลองปรับมานอนตะแคงดูก็ได้ หรือหากนอนตะแคงมิได้จริงๆก็ให้นอนหงายแต่ว่าพยายามหาอะไรมารองหนุนศีรษะ เพื่อยกระดับศีรษะตอนนอนให้สูงมากขึ้น ก็เพียงพอช่วยได้พอสมควร
- บริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ข้อนี้ทุกคนควรทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะนอนกรนหรือไม่ก็ตาม การบริหารร่างกายจะก่อให้กล้ามในช่องทางสำหรับเดินหายใจมีความแข็งแรงขึ้น ทำให้เวลาที่นอนกล้ามเนื้อต่าง ๆ ในช่องคอ จะได้ไม่หย่อนยานลงมาขวางช่องทางเดินหายใจของเราได้
- ลดน้ำหนัก อันนี้ส่งผลโดยตรง ถ้าน้ำหนักเราลดลง ไขมันต่าง ๆ ในช่องคอก็จะน้อยลง ทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น
- งดเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน งดเว้น ชา กาแฟ ก่อนนอน
- เลิกบุหรี่ เพราะเหตุว่าการสูบบุหรี่นอกเหนือจากที่จะทำร้ายร่างกายของเราแล้ว อาจมีผลทำให้ระบบทางเดินหายใจของเราผิดปกติ รวมทั้งมีการกรนได้
- ทำความสะอาดที่นอนหมอนมุ้งอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่ หมอน ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม เนื่องจากว่าสิ่งสกปรก หรือเชื้อโรคที่ติดอยู่ตามที่นอนหมอนมุ้งของเรานั้น อาจจะก่อให้กำเนิดโรคหอบหืด ภูมิแพ้ได้ ซึ่งทำให้ช่องทางเดินหายใจของเราตีบแคบ แล้วก็เกิดเสียงกรนได้
- ทดลองเพิ่มความชุ่มชื้นด้านในห้องนอนของท่าน ยกตัวอย่างเช่น หาแก้วหรือชามใส่น้ำมาวางไว้ด้านข้างเตียง หรือซื้อเครื่องทำความชื้นมาเอาไว้ในห้อง
- ล้างจมูกเป็นประจำแนะนำให้ล้างด้วยน้ำเกลือ โดยใช้กระบอกฉีดยา ฉีดเข้าทางรูจมูกบ่อย ๆ ก่อนนอน เพื่อทำให้จมูกเตียนโล่ง